Site MapContact Us
Cart Buy Now or Call 02-402-6117, 02-402-8107
081-359-6920
Search

CRM PRM Data Warehouse กับ Data Mining ต่างกันอย่างไร?



นักการตลาดในปัจจุบันนี้ ความสามารถที่คุณจะต้องมี คืออะไรครับ?

1. นอกจากต้องมีความรู้เรื่อง CRM ซึ่งผมเขียนมามากมายแล้ว

2. ควรต้องมีความรู้เรื่อง PRM ด้วย (Partner Relationship Management) เนื่องจากในการดำเนินธุรกิจ คุณจะต้องติดต่อกับลูกค้าของคุณ ผู้ค้าของคุณ หรือในกรณีที่คุณติดต่อกับโมเดิร์นเทรด แต่สิ่งที่คุณจะต้องตระหนัก คือ คุณต้องไม่ติดต่อกับเขาในฐานะที่เขาเป็นลูกค้าคุณ คุณต้องพยายามบอกเขาว่า อย่าปฏิบัติต่อคุณเสมือนเป็นซัพพลายเออร์ แต่ให้ปฏิบัติต่อคุณเสมือนหนึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของเขา เพราะเมื่อใดที่คุณเป็นหุ้นส่วนของเขา ย่อมหมายความว่า ทั้งสองฝ่ายจะทำงานกันอย่างเท่าเทียมกัน มีการแบ่งปันข้อมูล ไม่มีความลับต่อกัน และจะนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และพัฒนาความสัมพันธ์และการร่วมงานกันอย่างหุ้นส่วนธุรกิจที่แท้จริง

3. ควรต้องรู้จักตัวตนของลูกค้า 

4. มีการสร้างฐานข้อมูล (Database) และการทำเหมืองข้อมูล (Data Mining) 

นักการตลาดปัจจุบันนี้จำเป็นจะต้องมีความรู้เรื่องการตลาดที่เกี่ยวกับฐาน ข้อมูล ( Database Marketing ) และเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลหรือการทำเหมืองข้อมูล ( Data Mining ) เพื่อที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาทำการตลาดในระดับปัจเจกชนได้ เพราะว่าทั้งสองเรื่องเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการทำ CRM 

ทำไม CRM ถึงจำเป็นต้องมี Data Mining ก็เพราะ Data Mining เหมือนการทำเหมืองข้อมูล คือไปขุดเหมืองเพื่อค้นหาข้อมูล ( Data ) ที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับตัวลูกค้า

ความเชี่ยวชาญ เฉพาะที่จะต้องมีในการสร้างแบรนด์ ในการวิเคราะห์วิถีทางสร้างกำไรแยกตามเซ็กเม้นต์ แยกตามลูกค้า หรือแยกตามช่องทางการจัดจำหน่าย เพราะฉะนั้น การที่เราจะประสบความสำเร็จในอนาคต องค์กรทุกองค์กรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจและรู้จักลูกค้าอย่าง ถ่องแท้มากขึ้น คุณจะต้องทำความเข้าใจกับผู้บริโภคมากขึ้น เข้าใจเข้าไปในส่วนลึกของเขาที่เราเรียกว่า Consumer Insight ฉะนั้น วิธีหนึ่งที่จะทำความเข้าใจกับลูกค้าได้ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่ง คือ คุณจะต้องมีการเก็บฐานข้อมูลของลูกค้า โดยการสร้างคลังข้อมูลของลูกค้า ( Data Warehouse ) กับการทำ Data Mining

Data Warehouse กับ Data Mining ต่างกันอย่างไร? 

บางคนเก็บข้อมูลไว้เต็มเลย เช่น อาจจะมีข้อมูลลูกค้ากว่า 80 กิกะไบต์ แต่ใช้ไม่เป็นเลย เวลาจะหาลูกค้ารายหนึ่งต้องวิ่ง Search ไปเป็นชั่วโมงยังหาไม่เจอเลย อย่างนี้เท่ากับคุณมีโกดังเก็บข้อมูลเต็มไปหมด แต่คุณไม่รู้จักร่อนข้อมูลให้เป็น คุณจะต้องมีซอฟต์แวร์เพื่อที่จะร่อนข้อมูลที่ต้องการออกมา นั่นคือ Data Mining 

ยกตัวอย่าง การจะเก็บข้อมูลของประชากรที่เลี้ยงสุนัข เพื่อขายอาหารสุนัข ซึ่งแน่นอนว่า ประชากรทั้ง 60 ล้าน คงไม่เลี้ยงสุนัขกันทุกคน คุณรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายมีอยู่กลุ่มเดียว ฐานข้อมูลพวกนี้คุณสามารถเก็บได้จากเจ้าของสุนัข ซึ่งอนาคตได้ข่าวว่า จะมีการขึ้นทะเบียน ถ้ามีทะเบียนขึ้นมาตรงนี้คุณพอจะรู้เลย และสามารถเอาฐานข้อมูลตรงนั้นมาทำตลาดได้ แล้วถ้าคุณสามารถเอาสินค้าที่ขายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายตัวนั้นออกไป ให้ลูกค้ากรอกข้อมูลกลับมา โดยมีสิ่งตอบแทนที่เขาอุตส่าห์เสียเวลาเขียนข้อมูลให้คุณ เช่น หมาพันธุ์อะไร อายุเท่าไร? กินอาหารอะไร? ซึ่งตรงนี้จะเป็นข้อมูลที่คุณสามารถใช้ประโยชน์ในการทำ Data Mining ในอนาคต

การทำความรู้จัก กับผู้บริโภคของคุณนั้น คุณจะต้องมียุทธศาสตร์ทางด้านการตลาดที่แข็งแกร่ง คุณจะต้องทราบว่า ผู้บริโภคอยู่ตรงไหน? แล้วก็จะต้องมีข้อมูลทางด้านจิตวิทยา และทางด้านสำมะโนประชากร (Demographic) ว่า เป็นอย่างไร? 

ในขณะที่ฝ่ายบริหารการตลาดทุกวันนี้ ส่วนมากจะทำการตลาดแบบง่ายๆ ก็คือ ลดราคา ลดต้นทุนการผลิต เพราะฉะนั้น คุณจะต้องทำอย่างไร? บางแห่งก็บอกว่า ต้นทุนของการหาลูกค้าใหม่อยู่ที่ประมาณ 6-10 เท่าตัวมากกว่าต้นทุนของการรักษาลูกค้าเก่า เพราะฉะนั้น ถ้าคุณกำลังรับผิดชอบงานทางด้านการตลาดอยู่ โดยที่คุณมีลูกค้าอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าคุณไปหาลูกค้าใหม่อีก 10,000 คน แล้วคุณเสียลูกค้าเก่าอีก 5,000 คน หรือเผลอๆ คุณได้ลูกค้าใหม่ 10,000 คน แต่คุณเสียลูกค้าเก่าไป 30,000 คน ถามว่า คุ้มกันไหม? 

เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า ต้นทุนของการหาลูกค้าใหม่แพงกว่าต้นทุนของการรักษาลูกค้าเก่า ประมาณ 6-10 เท่าตัว วิธีการ คือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถรักษาลูกค้าเก่ามากที่สุด แล้วเอาชนะใจเขา แล้วให้เขาซื้อสินค้าเรามากขึ้น นั่นคือวิธีที่เราต้องการ คุณจำเป็นที่จะต้องสร้างความจงรักภักดีให้เกิดกับลูกค้าของคุณ และความจงรักภักดีของลูกค้าต่อคุณนั้น คือ สิ่งที่คุณปฏิบัติต่อลูกค้าคุณ เกี่ยวกับเรื่องสินค้าคุณอย่างคงเส้นคงวาครับ! 

นอกจากนี้ เรายังต้องพัฒนาและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคของเราด้วย เราต้องการผู้บริโภคที่ฉลาดตามเรา หรือไม่แน่อาจจะฉลาดกว่าเรา เราต้องบอกเขาว่า เราต้องการอยากจะรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร? อยากจะให้เขาได้มีโอกาสสัมผัสสินค้าหรือบริการของเรา ฉะนั้น เราจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กับจะต้องสร้างลูกค้าที่มีคุณค่าตลอดชีวิตขึ้นมา (Customer Lifetime Value) เพราะเราต้องการให้ลูกค้าอยู่กับเราตลอดชีวิต 

สมมุตินะครับ ถ้าคุณทำให้คนที่ดื่มโค้กไม่พอใจคุณ ถ้าเขาอายุแค่ 15 ปี แล้วคาดว่าเขาจะตายตอนอายุ 75 ปี ตกลงเขามีโอกาสบริโภคโค้ก 60 ปี ถ้าคุณทำให้คนนี้ไม่พอใจโค้กขึ้นมา แล้วเขาดื่มวันละ 2 กระป๋อง ตกลงคุณสูญเสียค่าโอกาสไม่ใช่ 13 บาทหรือ 1 กระป๋อง แต่คุณจะเสียโอกาสทั้งหมดกว่า 5 แสนบาท คิดจากมูลค่า ณ ปัจจุบันนะครับ โดยการคำนวณจากการบริโภคโค้กกระป๋องละ 13 บาท วันละ 2 กระป๋อง คูณด้วยจำนวน 365 วัน คูณด้วย 60 ปี ตามสูตรดังนี้ 13x2x365x60 ปี

ข้อสำคัญ คุณต้องตระหนักด้วยนะครับว่า ใครจะมาเป็นพนักงานขายให้กับสินค้าของคุณได้ดีที่สุดเท่ากับลูกค้าของคุณ นี่จึงเป็นที่มาของธุรกิจใหม่ในรอบ 10 ปี 15 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้จากธุรกิจขายตรงอย่างแอมเวย์ที่ใช้กลยุทธ์แบบนี้ คือ ถ้าผมขายสินค้าให้คุณใช้ แล้วคุณใช้ผลิตภัณฑ์ของผมแล้วคุณชอบ ทำไมคุณไม่แนะนำเพื่อนของคุณอีก 10 คนให้ใช้ล่ะ คุณก็จะได้รับส่วนลดด้วย คุณได้กำไรด้วย เผลอๆ เท่ากับได้ใช้ฟรี หรือเผลอๆ คุณจะได้กำไรอีกด้วย

วิธีที่ดีที่สุด ในการสร้างความสัมพันธ์ลูกค้า ก็คือ เมื่อคุณสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างพวกเขาจนทำให้เขากลายเป็นพนักงานขายของคุณแล้ว และเป็นคนแนะนำให้คนมาซื้อสินค้าคุณ นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด

คุณต้องสร้างฐาน ลูกค้า (Customer Base) โดยการพยายามที่จะเข้าถึงลูกค้าในทุกจุดที่สามารถติดต่อกับลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็น Call Center, หรือการบริการหลังการขาย หรือแผนกบัญชี ถ้าคุณสามารถเก็บข้อมูลนั้นแล้วสร้างฐานข้อมูล ขึ้นมา คุณก็จะมีโอกาสเติบโต มีโอกาสที่จะเก็บลูกค้ากลุ่มนั้นๆ ให้อยู่กับคุณนานที่สุดและขณะเดียวกัน ก็มีลูกค้าเพิ่มขึ้น ลูกค้าที่จะนำผลกำไร (Profitable Customer) มาให้คุณในที่สุด



บทความโดย : www.mindphp.com
ประกาศบทความโดย : http://www.prosoftcrm.in.th
Knowledge
CRM Tips